เวลา&ความสุข

วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554

เหตุผลที่ควรยิ้ม ^__^


เมื่อเปรียบเทียบการยิ้มกับการแสดงสีหน้าแบบอื่น เช่น โกรธ เศร้า เคร่งขรึม วิตกกังวล ฯลฯ แล้ว จะพบว่า การยิ้มใช้กล้ามเนื้อใบหน้าน้อยกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นมาก การยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และทำให้ใบหน้าดูดีกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่น ๆ ด้วย


แล้วรู้ไหมว่า เรา "ยิ้ม" เพื่ออะไรกัน
          - เพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณได้ทำงานซะบ้าง

          - ถ้าคุณยิ้มให้เขา มีหรือเขาจะไม่ยิ้มตอบคุณ

          - อย่างน้อยคุณจะได้ให้เขาช่วยเตือนว่ามีเศษผักสีเขียวมรกต ยังคงสนุกสนานในปากคุณ

          - การยิ้มเป็นการเริ่มต้นแห่งมิตรภาพที่ดีที่สุด

           -ถ้าคุณไม่ยอมยิ้ม แล้วใครจะได้เห็นล่ะว่า คุณมีลักยิ้มที่น่ารักที่สุด

          - เมื่อคุณทำผิดแล้วโดนจับได้ การแก้ตัวก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่การยิ้มเจื่อน ๆ แบบว่า แย่จัง!! คุณจะดูเหมือนพวกที่สำนึกผิด แล้วใครล่ะ จะกล้าโกรธคุณลง

          - ยิ้มสวย ๆ จะทำให้คนหน้าตาธรรมดา ๆ ดูดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ

         -  การยิ้มในวันที่อ่อนล้า หรือเซ็งสุด ๆ ในชีวิต จะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกดีขึ้น

         -  ถ้าคุณพูดไม่เก่ง ลีลาไม่เด็ด ให้ยิ้มมาก ๆ เป็นการชดเชย

         -  รอยยิ้มเป็นสัญญาณบอกใคร ๆ ว่าคุณพร้อมจะเปิดใจแล้ว

          - ยิ้มดี ๆ เพียงครั้งเดียวดีกว่าคำพูดนับแสนคำ



ยิ้มเกิดขึ้นได้อย่าง
ไร
          รอยยิ้ม เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ 2 มัดใหญ่ คือ ไซโกเมติก เมเจอร์ ( Zygomatic major) ที่จะช่วยดึงมุมปากให้ยกขึ้นไปหาโหนกแก้ม และออร์บิคิวลาริส ออคิวไล (Orbicularis Oculi ) ที่จะช่วยดึงเนื้อแก้มและเบ้าตาให้ยกขึ้น
ยิ้มมีผลต่อร่างกายอย่างไร
          จากการศึกษาพบว่า เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นรอยยิ้ม จะส่งผลทำให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง จะทำให้เกิดความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ซึ่งจะตรงข้ามกับการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าจะทำให้สมองมีอุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดความรู้สึกไม่สบาย

          นอกจากนี้ ในขณะที่คนเรายิ้ม หัวใจจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะผ่อนคลาย ต่อมหมวกไตจะทำงานน้อยลง ฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลงด้วย การยิ้มจึงช่วยลดความเครียดได้

การยิ้มมีความสัมพันธ์กับความสุขอย่างไร
          เป็นที่สงสัยกันมากว่า คนเรามีความสุขแล้วจึงยิ้ม หรือยิ้มก่อนแล้วจึงมีความสุข ทำให้นักวิชาการต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ลงไป และผลที่ได้ก็พบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง นั่นคือ เมื่อคนเรารู้สึกมีความสุข เราจะแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ชอบเก็บกดอารมณ์ของตน เวลามีความสุขก็ยังพยายามบังคับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึม ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้ามากกว่า เสียพลังงานมากกว่า และทำให้ไม่สามารถมีความสุขได้อย่างเต็มที่

          ในทางตรงข้าม แม้คนเราจะยังไม่รู้สึกมีความสุข แต่เมื่อยิ้มแล้วสักพัก จะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขได้เช่นกัน









ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/39036.html

10 ประเทศที่ประชากรสุขภาพดีที่สุดในโลก !


ประชากรใน 10 ประเทศต่อไปนี้ขึ้นชื่อว่ามีสุขภาพดีที่สุดในโลก ทั้งที่ในบางประเทศมีอาหารอันขึ้นชื่อ เช่น พิซซ่า หรือพาสต้าชีส ซึ่งเมนูเหล่านี้น่าแปลกใจทีเดียวว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพของพวกเขาได้อย่างไร ไปดูกันว่าพวกเขากินอะไร และกินอย่างไร จึงได้ชื่อว่าสุขภาพดีที่สุดในโลก
 อันดับ 1 ญี่ปุ่น
          ชาวญี่ปุ่นมีหลักการบริโภคคือ เมนูในหนึ่งวันจะต้องหลากหลายและมีคุณค่า ดังนั้นในหนึ่งมื้อของชาวญี่ปุ่นจะต้องมีข้าวเปล่าไว้ทานกับเนื้อปลา เนื้อหมู ผักใบเขียวต่าง ๆ และนัตโตะ (ถั่วหมัก) อีกทั้งยังต้องมีซุปมิโซะ ใส่สาหร่าย เต้าหู้ และเห็ดเข็มทอง ทั้งนี้เพื่อคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน

 อันดับ 2 สิงคโปร์

          ด้วยอิทธิพลวัฒนธรรมผสมระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ทำให้ชาวสิงคโปร์ชื่นชอบอาหารประเภทข้าวและเส้น นิยมทานคู่กับเนื้อ หมู ปลา และไก่ ที่นำมาทำเมนูย่าง ผัด หรือแกง และในมื้อเช้าก็ยืนพื้นเป็นโจ๊ก หรือข้าวต้มเหมือนบ้านเรา แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะไม่บริโภคเลยคือ อาหารทอดที่มีน้ำมันมาก

 อันดับ 3 จีน

          แต่เดิมแล้วชาวจีนให้ความสำคัญกับความปราณีตของอาหาร แต่เนื่องจากมีประชากรมากที่สุดในโลก ต่อมาจึงจำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นอาหารที่หาง่ายและทำได้ง่ายสุดคือ เมนูผักนั่นเอง ทำให้ถูกยึดเป็นอาหารพื้นฐานในยุคปัจจุบัน ถ้าหากนึกภาพอาหารจีนสักจาน คงต้องนึกไปถึงข้าวสวยร้อน ๆ ทานกับผัดผัก ผัดถั่ว ที่อาจมีเนื้อสัตว์ประกอบอยู่เพียง 1 หรือ 2 ส่วนเท่านั้น

 อันดับ 4 สวีเดน

          เป็นประเทศต้นกำเนิดบุฟเฟ่ต์ (smorgasbord) มีแนวคิดมาจากภาษาสวีดีชคำว่า "Lagom" ที่แปลว่าเพียงพอ โดยลักษณะการจัดเรียงคือ อาหารแต่ละอย่างจะถูกจัดวางในจานใบเดียวกันในปริมาณที่พออิ่ม ซึ่งเป็นข้อดีคือ พวกเขาสามารถกำหนดปริมาณการบริโภคในแต่ละมื้อได้ โดยตามธรรมเนียมดั้งเดิมแล้ว อาหารสวีเดนจะเน้นที่ทานง่ายและให้ประโยชน์มาก เช่น โยเกิร์ต นม ขนมปังธัญพืชไม่ขัดสี และเมนูปลา

 อันดับ 5 ฝรั่งเศส 

          ชาวฝรั่งเศสเน้นวัฒนธรรมการกินที่ต้องดูดีร่วมสมัย ชาวฝรั่งเศสชอบใช้เวลากับมื้ออาหารเพื่อดื่มด่ำอยู่กับรสชาติอาหาร ทำให้พวกเขาใช้เวลากับมื้อค่ำค่อนข้างนานกว่ามื้ออื่น ๆ ผิดกับมื้อเช้าที่จะดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียว หรือกินแค่บาเกตทาเนยเพียงชิ้นเดียว แล้วมื้อกลางวันกินพาสต้าชีสชามโต ไม่ว่าอย่างไรอาหารก็ไม่เป็นปัญหากับรูปร่างของพวกเขา เพราะพวกเขารักการเดิน หรือไม่ก็ปั่นจักรยาน ซึ่งนี่เป็นวิธีการเผาผลาญไขมันจากการอาหารที่บริโภคอย่างหนักมาทั้งวันได้ดี

 อันดับ 6 อิตาลี

          ชาวอิตาเลียนเน้นทานอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน พวกเขาจะปรุงสดและบริโภคในทันที อาหารสไตล์นี้ใช้น้ำมันมะกอกในการปรุง และเน้นหนักไปทางผลไม้สด ผักสด ธัญพืช เมล็ดถั่ว เนื้อปลา และอาจจิบไวน์ควบคู่กับอาหารไปด้วย อันที่จริงมีชาวอิตาเลียนจำนวนน้อยมากที่ทานพาสต้าเป็นอาหารจานหลัก เพราะตามหลักแล้วเมนูพาสต้าจะถูกเสิร์ฟในปริมาณพออิ่มถัดจากอาหารจานสลัด

 อันดับ 7 สเปน 

          "แมนเชโก้" (Manchego) ถือเป็นชีสที่ดีที่สุดของสเปน รวมถึงเนื้อเบคอนด้วย แต่ทั้งนี้พวกเขาจะนำมาดัดแปลงในเมนูซุป หรือสตูว์ เพิ่มเมล็ดอัลมอนด์ กระเทียม ถั่วชิคพี (chickpea) ถั่วปากอ้า ถั่วฝัก และผักสดตามฤดูกาล อาจมีตบท้ายด้วยผลไม้ตระกูลส้ม นับว่าเมนูของชาวสเปนขึ้นชื่อเรื่องอาหารชะลอวัย ช่วยลดคอเลสเตอรอล เพราะอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์


 อันดับ 8 เกาหลีใต้ 

          ชาวเกาหลีมีผิวขาวสวยเพราะ "กิมจิ" หรือผักดองปรุงรสที่มีกลิ่นฉุน รสเปรี้ยวและเผ็ดเล็กน้อย ซึ่งนับแต่โบราณกาล แม่บ้านเกาหลีจะดองกิมจิเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อนำมาเป็นอาหารในช่วงฤดูหนาวที่แห้งแล้ง แทนผักผลไม้ที่เก็บเกี่ยวไม่ได้ แต่ในปัจจุบันชาวเกาหลีนิยมทานกิมจิเป็นเครื่องเคียงร่วมกับเมนูเนื้อสัตว์อื่น ๆ ด้วย เช่น พุลโกกิ (เนื้อย่าง) คิมบับ (ข้าวห่อสาหร่าย) พีบิมบับ (ข้าวยำ) เป็นต้น
 อันดับ 9 อิสราเอล

          ชาวอิสราเอลนิยมทานเนื้อแกะ สตูว์มะเขือม่วง และพิต้ายัดไส้ โดยจะเน้นหนักไปที่มื้อกลางวัน ซึ่งขั้นตอนการเตรียมทุกอย่างจะนำไปย่างก่อน ตามมาด้วยผสมขมิ้นในเครื่องเทศให้ยิ่งเผ็ดร้อน โรยหน้าด้วยใบมิ้นท์และงา หรืออาจนำผักสดและเครื่องเทศ มาคลุกเคล้าน้ำมันมะกอกทำเป็นสลัด เช่น มะเขือเทศ พริกไทย หัวหอม กระเทียม โรยหน้าผักชีฝรั่ง (parsley) และผักชีลาว (dill)

 อันดับ 10 กรีซ

          ชาวกรีกนิยมปรุงอาหารทานเองที่บ้าน น้อยครั้งมากที่จะออกไปรับประทานนอกบ้าน พวกเขานิยมทานอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีหัวใจหลักอยู่ที่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอกทุกขั้นตอน เน้นสีสันสดใสโดยการใส่ผักสด โรยธัญพืช ถั่วฝัก มะเขือเทศ พริกไทย และอาหารทะเลสด

          สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักให้ได้ผลและมีสุขภาพดีไปพร้อมกันด้วย คุณอาจต้องเปลี่ยนวิธีกินโดยการแบ่งกินเป็นมื้อย่อย 5 มื้อ อาจกินมื้อเช้าแบบชาวเกาหลี และมื้อค่ำเน้นผักสดแบบชาวอิตาลี ปรับวิธีปรุงอาหารมาเป็นอบ กริลล์ (ย่างพอสุก) แทนการทอด หรือเลือกบริโภคเนื้อสัตว์เพียง 1 มื้อต่อวัน และออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 25 นาที เพียงแค่นี้ก็สามารถมีสุขภาพดีแบบนานาชาติได้แล้วค่ะ


วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันแห่งความรัก



       
 วันวาเลนไทน์     นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาวในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณี อย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยัง สืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการ ที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได้ตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในที่สุด





ของขวัญวันวาเลนไทน์

    ดอกไม้ ให้ความหมายของการบอกรักได้ดีที่สุด ที่ฮิตสุดเห็นจะเป็น
- กุหลาบแดง หมายถึง ความรักและความปรารถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ เป็นสิ่งนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับ
- กุหลาบขาว หมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ ความเงียบสงบ และนำโชคมาสู่ผู้หญิงที่ได้รับเช่นเดียวกับดอกกุหลาบแดง
- กุหลาบสีชมพู หมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์ที่สุด
- กุหลาบสีเหลืองหรือสีส้ม หมายถึง ความรักร้อนแรงและยาวนาน ไม่จืดจาง หวานชื่น และมีความสุข
- กุหลาบตูม หมายถึง ความรักและความเยาว์วัย
- กุหลาบบาน หมายถึง ความรักที่กำลังเบ่งบาน ความอ่อนหวาน สดชื่น





ฮวงจุ้ย....เสริมรัก



ฮวงจุ้ย...เสริมเลิฟ


1. ค้นหาตำแหน่งความสัมพันธ์
มันควรจะเป็นตำแหน่งที่อยู่บริเวณตะวันตกเฉียงใต้ของห้องนอน ในมุมนี้ให้กำจัดแมกกาซีนเก่า ๆ ผ้าที่ยังไม่ได้ซักกองอยู่ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เกะกะรกรุงรัง แต่มันยังเป็นอุปสรรคชีวิตรักของคุณ ลองทำมุมนี้ให้สะอาด เป็นมุมที่คุณจุดเตาอะโรมาหยดกลิ่นวานิลาลงไป เชื่อว่ากลิ่นนี้เป็นกลิ่นที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้มีความใกล้ชิดกันทางกายเพิ่มมากขึ้น

2. ตกแต่งเป็นคู่
เรากำลังพูดถึงเก้าอี้ หมอน สิ่งของอย่างตุ๊กตา เอาเทียนอะโรมาที่คุณวางไว้อย่างโดดเดี่ยวอันเดียวออกซะ แล้วเปลี่ยนเป็นเทียนหอมคู่สีชมพูที่วางไว้คนละมุมของหัวเตียง เพื่อเพิ่มความร้อนแรงให้กับคู่รักที่นอนอยู่บนเตียงระหว่างเทียน 2 เล่มนี้ สีชมพูเป็นสีแห่งความโรแมนติก หลีกเลี่ยงสีพีชนอกเสียจากว่าคุณต้องการที่จะโดนทิ้ง เพราะสีนี้เป็นสีที่จะเชื้อเชิญคนรักเข้ามาในชีวิตแต่มันไม่ช่วยให้คุณอยู่กับเขาได้นาน

3. เอาของหนักออกไป
อุปกรณ์ออกกำลังกายทั้งหลายอันหนักอึ้งและคอมพิวเตอร์จะหมายถึงงานหนักและการต้องเสียแรงในชีวิตรัก ทำให้ชีวิตรักมีแต่เรื่องหนัก ๆ อุปกรณ์เหล่านี้ไม่ควรวางไว้ในห้องนอน ถ้าคุณอยากให้ชีวิตรักของคุณเป็นเรื่องเบาๆ ต้องอย่าเอาเรื่องงานและเรื่องยิมมาอยู่ในห้องนอน

4. เช็ควิวจากมุมที่นอน
เตียงของคุณไม่ควรหันหน้าไปทางหน้าต่างหรือประตู และต้องแน่ใจด้วยนะว่าฝั่งหัวเตียงของคุณเป็นผนังหรือมีหัวเตียงที่แน่นหนา จะช่วยให้อารมณ์มั่นคงขึ้น ไม่ทะเลาะกันจนกระทั่งเตียงหัก และถ้าอยากเพิ่มแรปรารถนาให้แก่กันและกันแบบไฟติดพรึ่บพรั่บลองหาม่านลูกปัดมาแขวนที่ประตูห้องนอน และน่าจะมีแจกันใส่ดอกไม้สด ๆ โดยเฉพาะดอกกล้วยไม้จะมีพลังเสริมทางเพศให้ไฟรักลุงโชน







ที่มา...http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tikthinkthong&date=01-02-2007&group=6&gblog=5

" น้ำผลไม้ปั่นเพื่อสุขภาพ "



ส่วนประกอบ
1.สัปปะรดปอกเปลือกและตาสัปปะรดออกใช้ประมาณ 1/4 ลูก
2.แอ๊ปเปิ้ลหั่นเป็นชิ้นๆ 2 ลูก
3.องุ่นไร้เมล็ดประมาณ 15 ลูก
4.กีวี 2 ลูก
5.น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
6.น้ำเชื่อม 1/4 ถ้วย
7.น้ำแข็ง 3 ถ้วยตวง
8.น้ำเปล่า 1 ถ้วย
9.เกลือป่นนิดหน่อย
วิธีทำ
        นำทั้งหมดข้างต้น แบ่งส่วนปั่น 2 หรือ 3 ครั้ง เวลาปั่นให้ปั่นผลไม้กับ น้ำเชื่อมและน้ำเปล่าก่อนค่อย
ใส่น้ำแข็งลงไปปั่น จากนั้นก็ชิมเอาที่รสชาติที่ชอบ

ที่มา..
http://www.fruit-fruit.ob.tc/fruit61.html

ผลไม้มงคล



1. ลำไย เป็นผลไม้มงคล ซึ่งคนจีนบางกลุ่มนำไปใช้ร่วมกับพิธีการสูง เพราะเชื่อกันว่า เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความหวานชื่น สำหรับหนุ่มสาวในงานพิธีมงคลนั้นๆ ลำไยภาาจีนแปลว่า ดวงตามังกร ซึ่งมังกรเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้เมืองจีน ดังนั้นหมายถึง ความเป็นผู้ที่มีอำนาจ เป็นผู้นำปวงชน และเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือ ฉะนั้น ลำไยคือผลไม้มงคลที่เชื่อว่า เป็นตัวแทนแห่งความรัก ความเป็นผู้นำ และความมีอำนาจวาสนา
 2. ลิ้นจี่ เป็นผลไม้ชั้นสูงของคนจีนมาเป็นเวลานานแล้ว มีเรื่องเล่ากันว่า ฮ่องเต้ของเมืองจีนในสมัยหนึ่ง ต้องให้ทหารผู้ที่ดูแลพระองค์จัดหาลิ้นจี่น ผิวสวยสีแดงสด เพื่อนำไปถวายพระมารดา และพระมเหสีของพระองค์เป็นประจำ จึงเกิดการแพร่หลายไปในขุนนางชั้นสูงต่อกัน จนเป็นที่รู้กันทั่วไป เพราะผลที่มีสีแดงของลิ้นจี่นี่เอง ทำให้เป็นที่นิยมนำลิ้นจี่ไปใช้ในงานมงคล ฉะนั้น ลิ้นจี่คือผลไม้ที่มีสีแดงสด ซึ่งคนจีนถือว่าเป็นสีแห่งความเป็นสิริมงคง
 3. สับปะรด เป็นผลไม้มงคล ที่คนนิยมนำไปไหว้ในพิธีการต่างๆ เชื่อกันว่าจะทำให้เกิดความรอบคอบ รอบรู้ในสิ่งต่างๆ ดูแลกิจการงานได้ทั่วถึง สายตากว้างไกล ประดุจดั่งสับปัรดที่มีดวงตารอบตัว ฉะนั้น สับปะรดคือผลไม้แห่งความมงคลที่เชื่อถือว่า เป็นตัวแทนแห่งความรอบคอบ รอบรู้ สายตากว้างไกล
 4. กล้วย เป็นผลไม้มงคลแห่งการแตกหน่อ แตกสาขา ซึ่งในธรรมชาติของต้นกล้วยนั้น สามารถแตกหน่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีวันจบ กล้วยยังเป็นผลไม้แห่งการเชื่อถือในด้านการ มีบริวารมากมาย เฉกเช่นเดียวกับกล้วย 1 เครือที่มีลูกเป็นจำนวนมาก บางคนนิยมรับประทานกล้วยที่มีผลแฝดคู่กัน เพื่อจะได้มีลูกที่คลอดออกมาเป็นลูกแฝด ฉะนั้น กล้วยคือผลไม้มงคล ที่เชื่อว่าเป็นตัวแทนแห่งการขยายสาขา กิจการ การมีบุตรสืบสกุล มีบริวารมาก
 5. ทุเรียน เป็นผลไม้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ในตัวเองมาก มีเนื้อในที่สวยงาม สีเหลืองดั่งทองคำ ด้วยความฉลาดหลักแหลมของธรรมชาติ จึงได้สร้างเกราะคุ้มกันเนื้อในสีทอง โดยการสร้างหนามแหลมคมรอบตัว เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายต่างๆ มารบกวน ฉะนั้น ทุเรียนจึงเป็นผลไม้มงคลที่ชื่อว่า เป็นตัวแทนของความฉลาดหลักแหลม เข้มแข็ง สามารถป้องกันตนเองได้

ที่มา...http://www.fruit-fruit.ob.tc/fruit5.html

ดอกไม้>>ทายใจ


ดอกไม้ สิ่งที่บอกตัวตนของคุณได้ในทุกๆเรื่องๆ หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าจริงๆแล้ว ดอกไม้แต่ละชนิดนั้นมีความหมายอยู่ในตัวเองมัน และคุณคงอยากรู้ว่าใครชอบดอกอะไร และมีความหมายอย่างไรแน่นอน...ใช่มั้ยคะ 

     ดอกเบญจมาศ สื่อความหมายของคำว่า “ รักแท้ ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดอกสีขาว ซึ่งคนญี่ปุ่นจะถือว่าดอกไม้ชนิดนี้เป็นดอกไม้อันสูงศักดิ์และทรงเกียรติ 

     ดอกโบตั๋นแคระ หมายถึง ตัวแทนของหญิงที่มีความสง่างาม 

     ดอกลิลลี่ ดอกลิลลี่นับเป็นดอกไม้ดอกหนึ่งที่แก่ที่สุดในโลก เคยถูกพบเป็นภาพวาดบนฝาผนังและกำแพงในราชสำนักกรีกโบราณ เป็นดอกไม้ที่แทนถึงความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดังนั้น..... ในพิธีแต่งงานโดยมาก ดอกไม้ในมือเจ้าสาวมักจะต้องมีลิลลี่แซมอยู่เสมอ 

     ดอกกุหลาบ หมายถึง “ ความรัก ” ซึ่งกุหลาบแต่ละสีจะบ่งบอกความรักในแง่มุมที่แตกต่างกัน เช่น ดอกกุหลาบสีแดง หมายถึง รักแท้ที่ร้อนแรง ดอกกุหลาบสีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ซึ่งไม่หวังสิ่งตอบแทน ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึง ตัวแทนความห่วงใยและกำลังใจ เอาไว้จะมาเล่าถึงความหมายของแต่ละสีอีกทีเอนทรี่หน้าแล้วกัน เดี่ยวหมดเรื่องอัพ อิอิ 

     ดอกทานตะวัน หมายถึง ความหวัง ความภูมิใจ และความหยิ่งยโส 

     ดอกเดซี่ ได้ชื่อว่าเป็นดอกแห่งความทรงจำในวัยเด็กของชาวตะวันตก ไม่ว่าจะนำดอกเดซี่มาทำเป็นสร้อยคอหรือสวมหัวเล่นนอกจากนั้นเด็กๆ ยังมีวิธีเล่นที่สื่อถึงความไร้เดียงสาน่ารัก คือการ..... หลับตาหยิบดอกไม้ แล้วลืมตานับจำนวนดอกเดซี่ ซึ่งตัวเลขจำนวนนั้นจะถือว่าเป็นอายุก่อนที่จะแต่งงาน และทำนายรัก..ไม่รักโดยการเด็ดกลีบของเดซี่ทีละกลับ ดอกเดซี่จึงหมายถึงความไร้เดียงสา และความบริสุทธิ์ 

     ดอกทิวลิป หมายถึง การบอกรักให้อีกฝ่ายรับรู้ ดอกทิวลิปสีเหลือง หมายถึง ความรักที่สิ้นหวัง ดอกทิวลิปสีแดง หมายถึง คำสารภาพรัก ดอกทิวลิปนี่ก็เป็นอีกชนิดนึงที่แต่ละสีบ่งบอกความรักที่ต่างกัน อย่างสีแดงบอกถึงรักนิรันดร์ ไว้เอนทรี่หน้าเนอะ อิอิ 

     ดอกบัวสาย .... ดอกไม้ไทย ๆ เรานี่เอง หรือที่เรียกว่า Water Lily เป็นไม้น้ำชนิดหนึ่งที่มีมาแต่โบราณ และยังเป็นดอกไม้ประจำชาติของอิปต์ด้วย โดยให้ควาหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งจิตใจ 

     ต้นไอวี่ หมายถึง การมีรักเดียวใจเดียว ดอกไอวี่ Ivy .... "แต่งงานกันเถอะ" แต่ถ้าเป็น ดอกไอวี่สีเหลือง Yellow Ivy "ฉันหลงไหลในตัวคุณ" 

     ดอกฟอร์เก็ตมีน็อต (Forget-Me-Not) มาจากตำนานเล่าขานที่ว่ากาลครั้งหนึ่งมีอัศวินหนุ่มในชุดเกราะกำลังเดินเล่นที่ริมลำธารกับหญิงที่รัก สาวเจ้าเห็นดอกไม้ที่ริมตลิ่งชูช่อสวยงามอยู่ ก็เกิดความอยากได้ขึ้นมาและขอให้อัศวินเก็บให้ 

    ขณะที่กำลังเอื้อมมือคว้าดอกไม้นั้นอัศวินกลับเกิดเสียหลักลื่นตกลงไปในลำธาร ชุดเกราะที่แสนหนักหน่วงจึงถ่วงให้เขาไม่สามารถจะว่ายน้ำได้ เขาจึงโยนดอกไม้ดอกนั้นให้กับเธอพร้อมกับตะโกนว่า Forget-Me-Not และจมหายไปต่อหน้าต่อตา หญิงสาวผู้นั้นไม่เคยลืมเขาเลยและให้ชื่อดอกไม้นั้นว่าดอก Forget-Me-Not ดอกไม้นี้จึงเป็นตัวแทนของรักแท้ และความทรงจำแห่งความรัก
 

ข้อมูลจาก : Wedding Studio