เวลา&ความสุข
วันพฤหัสบดีที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554
เหตุผลที่ควรยิ้ม ^__^
เมื่อเปรียบเทียบการยิ้มกับการแสดงสีหน้าแบบอื่น เช่น โกรธ เศร้า เคร่งขรึม วิตกกังวล ฯลฯ แล้ว จะพบว่า การยิ้มใช้กล้ามเนื้อใบหน้าน้อยกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นมาก การยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า และทำให้ใบหน้าดูดีกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่น ๆ ด้วย
แล้วรู้ไหมว่า เรา "ยิ้ม" เพื่ออะไรกัน
- เพื่อให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณได้ทำงานซะบ้าง
- ถ้าคุณยิ้มให้เขา มีหรือเขาจะไม่ยิ้มตอบคุณ
- อย่างน้อยคุณจะได้ให้เขาช่วยเตือนว่ามีเศษผักสีเขียวมรกต ยังคงสนุกสนานในปากคุณ
- การยิ้มเป็นการเริ่มต้นแห่งมิตรภาพที่ดีที่สุด
-ถ้าคุณไม่ยอมยิ้ม แล้วใครจะได้เห็นล่ะว่า คุณมีลักยิ้มที่น่ารักที่สุด
- เมื่อคุณทำผิดแล้วโดนจับได้ การแก้ตัวก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ แต่การยิ้มเจื่อน ๆ แบบว่า แย่จัง!! คุณจะดูเหมือนพวกที่สำนึกผิด แล้วใครล่ะ จะกล้าโกรธคุณลง
- ยิ้มสวย ๆ จะทำให้คนหน้าตาธรรมดา ๆ ดูดีขึ้นจนน่าประหลาดใจ
- การยิ้มในวันที่อ่อนล้า หรือเซ็งสุด ๆ ในชีวิต จะช่วยกระตุ้นให้คุณรู้สึกดีขึ้น
- ถ้าคุณพูดไม่เก่ง ลีลาไม่เด็ด ให้ยิ้มมาก ๆ เป็นการชดเชย
- รอยยิ้มเป็นสัญญาณบอกใคร ๆ ว่าคุณพร้อมจะเปิดใจแล้ว
- ยิ้มดี ๆ เพียงครั้งเดียวดีกว่าคำพูดนับแสนคำ
ยิ้มเกิดขึ้นได้อย่างไร
รอยยิ้ม เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ 2 มัดใหญ่ คือ ไซโกเมติก เมเจอร์ ( Zygomatic major) ที่จะช่วยดึงมุมปากให้ยกขึ้นไปหาโหนกแก้ม และออร์บิคิวลาริส ออคิวไล (Orbicularis Oculi ) ที่จะช่วยดึงเนื้อแก้มและเบ้าตาให้ยกขึ้น
ยิ้มมีผลต่อร่างกายอย่างไร
จากการศึกษาพบว่า เมื่อกล้ามเนื้อใบหน้าเคลื่อนไหวจนเกิดเป็นรอยยิ้ม จะส่งผลทำให้โลหิตแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง จะทำให้เกิดความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ซึ่งจะตรงข้ามกับการทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าจะทำให้สมองมีอุณหภูมิสูงขึ้น และเกิดความรู้สึกไม่สบาย
นอกจากนี้ ในขณะที่คนเรายิ้ม หัวใจจะเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะผ่อนคลาย ต่อมหมวกไตจะทำงานน้อยลง ฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความเครียดจะถูกขับออกมาน้อยลงด้วย การยิ้มจึงช่วยลดความเครียดได้
การยิ้มมีความสัมพันธ์กับความสุขอย่างไร
เป็นที่สงสัยกันมากว่า คนเรามีความสุขแล้วจึงยิ้ม หรือยิ้มก่อนแล้วจึงมีความสุข ทำให้นักวิชาการต้องทำการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ให้ถ่องแท้ลงไป และผลที่ได้ก็พบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง นั่นคือ เมื่อคนเรารู้สึกมีความสุข เราจะแสดงออกทางสีหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ชอบเก็บกดอารมณ์ของตน เวลามีความสุขก็ยังพยายามบังคับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึม ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อใบหน้ามากกว่า เสียพลังงานมากกว่า และทำให้ไม่สามารถมีความสุขได้อย่างเต็มที่
ในทางตรงข้าม แม้คนเราจะยังไม่รู้สึกมีความสุข แต่เมื่อยิ้มแล้วสักพัก จะรู้สึกว่าอารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขได้เช่นกัน
ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/39036.html
10 ประเทศที่ประชากรสุขภาพดีที่สุดในโลก !
ประชากรใน 10 ประเทศต่อไปนี้ขึ้นชื่อว่ามีสุขภาพดีที่สุดในโลก ทั้งที่ในบางประเทศมีอาหารอันขึ้นชื่อ เช่น พิซซ่า หรือพาสต้าชีส ซึ่งเมนูเหล่านี้น่าแปลกใจทีเดียวว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพของพวกเขาได้อย่างไร ไปดูกันว่าพวกเขากินอะไร และกินอย่างไร จึงได้ชื่อว่าสุขภาพดีที่สุดในโลก
อันดับ 1 ญี่ปุ่น
ชาวญี่ปุ่นมีหลักการบริโภคคือ เมนูในหนึ่งวันจะต้องหลากหลายและมีคุณค่า ดังนั้นในหนึ่งมื้อของชาวญี่ปุ่นจะต้องมีข้าวเปล่าไว้ทานกับเนื้อปลา เนื้อหมู ผักใบเขียวต่าง ๆ และนัตโตะ (ถั่วหมัก) อีกทั้งยังต้องมีซุปมิโซะ ใส่สาหร่าย เต้าหู้ และเห็ดเข็มทอง ทั้งนี้เพื่อคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนอันดับ 2 สิงคโปร์
ด้วยอิทธิพลวัฒนธรรมผสมระหว่างตะวันออกกับตะวันตก ทำให้ชาวสิงคโปร์ชื่นชอบอาหารประเภทข้าวและเส้น นิยมทานคู่กับเนื้อ หมู ปลา และไก่ ที่นำมาทำเมนูย่าง ผัด หรือแกง และในมื้อเช้าก็ยืนพื้นเป็นโจ๊ก หรือข้าวต้มเหมือนบ้านเรา แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาจะไม่บริโภคเลยคือ อาหารทอดที่มีน้ำมันมาก
อันดับ 3 จีน
แต่เดิมแล้วชาวจีนให้ความสำคัญกับความปราณีตของอาหาร แต่เนื่องจากมีประชากรมากที่สุดในโลก ต่อมาจึงจำเป็นต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ดังนั้นอาหารที่หาง่ายและทำได้ง่ายสุดคือ เมนูผักนั่นเอง ทำให้ถูกยึดเป็นอาหารพื้นฐานในยุคปัจจุบัน ถ้าหากนึกภาพอาหารจีนสักจาน คงต้องนึกไปถึงข้าวสวยร้อน ๆ ทานกับผัดผัก ผัดถั่ว ที่อาจมีเนื้อสัตว์ประกอบอยู่เพียง 1 หรือ 2 ส่วนเท่านั้น
อันดับ 4 สวีเดน
เป็นประเทศต้นกำเนิดบุฟเฟ่ต์ (smorgasbord) มีแนวคิดมาจากภาษาสวีดีชคำว่า "Lagom" ที่แปลว่าเพียงพอ โดยลักษณะการจัดเรียงคือ อาหารแต่ละอย่างจะถูกจัดวางในจานใบเดียวกันในปริมาณที่พออิ่ม ซึ่งเป็นข้อดีคือ พวกเขาสามารถกำหนดปริมาณการบริโภคในแต่ละมื้อได้ โดยตามธรรมเนียมดั้งเดิมแล้ว อาหารสวีเดนจะเน้นที่ทานง่ายและให้ประโยชน์มาก เช่น โยเกิร์ต นม ขนมปังธัญพืชไม่ขัดสี และเมนูปลา
อันดับ 5 ฝรั่งเศส
ชาวฝรั่งเศสเน้นวัฒนธรรมการกินที่ต้องดูดีร่วมสมัย ชาวฝรั่งเศสชอบใช้เวลากับมื้ออาหารเพื่อดื่มด่ำอยู่กับรสชาติอาหาร ทำให้พวกเขาใช้เวลากับมื้อค่ำค่อนข้างนานกว่ามื้ออื่น ๆ ผิดกับมื้อเช้าที่จะดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียว หรือกินแค่บาเกตทาเนยเพียงชิ้นเดียว แล้วมื้อกลางวันกินพาสต้าชีสชามโต ไม่ว่าอย่างไรอาหารก็ไม่เป็นปัญหากับรูปร่างของพวกเขา เพราะพวกเขารักการเดิน หรือไม่ก็ปั่นจักรยาน ซึ่งนี่เป็นวิธีการเผาผลาญไขมันจากการอาหารที่บริโภคอย่างหนักมาทั้งวันได้ดี
อันดับ 6 อิตาลี
ชาวอิตาเลียนเน้นทานอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน พวกเขาจะปรุงสดและบริโภคในทันที อาหารสไตล์นี้ใช้น้ำมันมะกอกในการปรุง และเน้นหนักไปทางผลไม้สด ผักสด ธัญพืช เมล็ดถั่ว เนื้อปลา และอาจจิบไวน์ควบคู่กับอาหารไปด้วย อันที่จริงมีชาวอิตาเลียนจำนวนน้อยมากที่ทานพาสต้าเป็นอาหารจานหลัก เพราะตามหลักแล้วเมนูพาสต้าจะถูกเสิร์ฟในปริมาณพออิ่มถัดจากอาหารจานสลัด
อันดับ 7 สเปน
"แมนเชโก้" (Manchego) ถือเป็นชีสที่ดีที่สุดของสเปน รวมถึงเนื้อเบคอนด้วย แต่ทั้งนี้พวกเขาจะนำมาดัดแปลงในเมนูซุป หรือสตูว์ เพิ่มเมล็ดอัลมอนด์ กระเทียม ถั่วชิคพี (chickpea) ถั่วปากอ้า ถั่วฝัก และผักสดตามฤดูกาล อาจมีตบท้ายด้วยผลไม้ตระกูลส้ม นับว่าเมนูของชาวสเปนขึ้นชื่อเรื่องอาหารชะลอวัย ช่วยลดคอเลสเตอรอล เพราะอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์
อันดับ 8 เกาหลีใต้
ชาวเกาหลีมีผิวขาวสวยเพราะ "กิมจิ" หรือผักดองปรุงรสที่มีกลิ่นฉุน รสเปรี้ยวและเผ็ดเล็กน้อย ซึ่งนับแต่โบราณกาล แม่บ้านเกาหลีจะดองกิมจิเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิ เพื่อนำมาเป็นอาหารในช่วงฤดูหนาวที่แห้งแล้ง แทนผักผลไม้ที่เก็บเกี่ยวไม่ได้ แต่ในปัจจุบันชาวเกาหลีนิยมทานกิมจิเป็นเครื่องเคียงร่วมกับเมนูเนื้อสัตว์อื่น ๆ ด้วย เช่น พุลโกกิ (เนื้อย่าง) คิมบับ (ข้าวห่อสาหร่าย) พีบิมบับ (ข้าวยำ) เป็นต้น
อันดับ 9 อิสราเอล
ชาวอิสราเอลนิยมทานเนื้อแกะ สตูว์มะเขือม่วง และพิต้ายัดไส้ โดยจะเน้นหนักไปที่มื้อกลางวัน ซึ่งขั้นตอนการเตรียมทุกอย่างจะนำไปย่างก่อน ตามมาด้วยผสมขมิ้นในเครื่องเทศให้ยิ่งเผ็ดร้อน โรยหน้าด้วยใบมิ้นท์และงา หรืออาจนำผักสดและเครื่องเทศ มาคลุกเคล้าน้ำมันมะกอกทำเป็นสลัด เช่น มะเขือเทศ พริกไทย หัวหอม กระเทียม โรยหน้าผักชีฝรั่ง (parsley) และผักชีลาว (dill)
อันดับ 10 กรีซ
ชาวกรีกนิยมปรุงอาหารทานเองที่บ้าน น้อยครั้งมากที่จะออกไปรับประทานนอกบ้าน พวกเขานิยมทานอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีหัวใจหลักอยู่ที่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอกทุกขั้นตอน เน้นสีสันสดใสโดยการใส่ผักสด โรยธัญพืช ถั่วฝัก มะเขือเทศ พริกไทย และอาหารทะเลสด
สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักให้ได้ผลและมีสุขภาพดีไปพร้อมกันด้วย คุณอาจต้องเปลี่ยนวิธีกินโดยการแบ่งกินเป็นมื้อย่อย 5 มื้อ อาจกินมื้อเช้าแบบชาวเกาหลี และมื้อค่ำเน้นผักสดแบบชาวอิตาลี ปรับวิธีปรุงอาหารมาเป็นอบ กริลล์ (ย่างพอสุก) แทนการทอด หรือเลือกบริโภคเนื้อสัตว์เพียง 1 มื้อต่อวัน และออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 25 นาที เพียงแค่นี้ก็สามารถมีสุขภาพดีแบบนานาชาติได้แล้วค่ะ
ชาวอิสราเอลนิยมทานเนื้อแกะ สตูว์มะเขือม่วง และพิต้ายัดไส้ โดยจะเน้นหนักไปที่มื้อกลางวัน ซึ่งขั้นตอนการเตรียมทุกอย่างจะนำไปย่างก่อน ตามมาด้วยผสมขมิ้นในเครื่องเทศให้ยิ่งเผ็ดร้อน โรยหน้าด้วยใบมิ้นท์และงา หรืออาจนำผักสดและเครื่องเทศ มาคลุกเคล้าน้ำมันมะกอกทำเป็นสลัด เช่น มะเขือเทศ พริกไทย หัวหอม กระเทียม โรยหน้าผักชีฝรั่ง (parsley) และผักชีลาว (dill)
อันดับ 10 กรีซ
ชาวกรีกนิยมปรุงอาหารทานเองที่บ้าน น้อยครั้งมากที่จะออกไปรับประทานนอกบ้าน พวกเขานิยมทานอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีหัวใจหลักอยู่ที่ปรุงด้วยน้ำมันมะกอกทุกขั้นตอน เน้นสีสันสดใสโดยการใส่ผักสด โรยธัญพืช ถั่วฝัก มะเขือเทศ พริกไทย และอาหารทะเลสด
สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักให้ได้ผลและมีสุขภาพดีไปพร้อมกันด้วย คุณอาจต้องเปลี่ยนวิธีกินโดยการแบ่งกินเป็นมื้อย่อย 5 มื้อ อาจกินมื้อเช้าแบบชาวเกาหลี และมื้อค่ำเน้นผักสดแบบชาวอิตาลี ปรับวิธีปรุงอาหารมาเป็นอบ กริลล์ (ย่างพอสุก) แทนการทอด หรือเลือกบริโภคเนื้อสัตว์เพียง 1 มื้อต่อวัน และออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 25 นาที เพียงแค่นี้ก็สามารถมีสุขภาพดีแบบนานาชาติได้แล้วค่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)